อยากขายของให้เด็ก ทำยังไงถึง Work
หลักการตลาดง่ายๆ ที่บางครั้ง คนขายของอาจลืมไป
โดยเฉพาะสินค้าประเภทที่… คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ค่อยได้ซื้อ
คลิปสั้นๆ แต่ช่วยให้เข้าใจและต่อยอดได้ง่ายค่ะ
อยากขายของให้เด็ก ทำยังไงถึง Work
หลักการตลาดง่ายๆ ที่บางครั้ง คนขายของอาจลืมไป
โดยเฉพาะสินค้าประเภทที่… คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ค่อยได้ซื้อ
คลิปสั้นๆ แต่ช่วยให้เข้าใจและต่อยอดได้ง่ายค่ะ
ใครขายของ แต่กลัวการขาย ยกมือขึ้น
เงินก็อยากได้ แต่ก็กลัวเรื่องการขาย
ทำยังไงดี
คลิปนี้ มีคำตอบคร่าาาาา
ดูจบแล้ว อย่าลืมเอาไปทำด้วยนะคะ
ไม่ใช่แค่ลองนะ เอาไปทำจริงๆ เลย
บริการอย่างดี เอะ ทำไม ฉันพลาดตรงไหน
มือใหม่เพิ่งเริ่มขาย แต่ไม่อยากพลาด ดูด่วน
ขอบคุณเพลงประกอบ: WONDERFRAME อยู่ดีๆก็… (Feat. YOUNGOHM)
บ่อยครั้งที่มาริได้ยินคำถามจากคนรู้จัก
ในทำนองคล้ายๆ กัน
ฮึย ขายอะไรดีอ่ะ
มีเงินเท่านี้ซื้ออะไรมาขายดี
เปิดเพจขายอะไรดี
……………………………………………………………..
จริงๆ มันไม่ใช่เรื่องที่ผิดนะคะ
เป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่เราเริ่มหาไอเดียอะไรซักอย่าง
แต่…มันจะดียิ่งขึ้น
ถ้าเราเปลี่ยนคำถามให้มีคุณภาพมากขึ้น
เพราะเราจะได้มองอะไรที่กว้างหรือใหญ่ขึ้น
……………………………………………………………..
เปลี่ยนจากขายอะไรดี เป็น “ทำธุรกิจอะไรดี”
เช่น จากจะมองว่า ขายเสื้อผ้า
ลองเปลี่ยนมุมมองเป็นธุรกิจแฟชั่น
และเมื่อนั้น เราจะมองเห็นโอกาสของตลาดมากขึ้น
กลุ่มคนที่เราจะช่วยแก้ปัญหา
หรือตอบสนองความต้องการได้มากขึ้น
……………………………………………………………..
จากตัวอย่างข้างบน ถ้าเราจำกัดตัวเองว่า…
ฉันขายเสื้อผ้า เป็นไปได้อย่างสูงว่า
เราก็จะมองเห็นแต่..
เอาเสื้อผ้าอะไรมาขาย
แต่ถ้าเรามองว่าเป็นธุรกิจแฟชั่น
สินค้าที่เราจะขายนั้นจะกว้างขึ้น
เช่น เราอาจจะขายเครื่องประดับ กระเป๋า accessories
ขายไอเดียคนแต่งตัว อีกหลายสิ่งที่เกี่ยวข้อง
คุณจะเห็นสินค้าและบริการอีกมาย
ที่พร้อมจะแตกหน่อ ออกงอ หรือขยาย
ถ้าตัวหนึ่งตายไป หรือ หมดความนิยมลงไป
ซึ่งไม่ได้หมายถึงว่าคุณต้องทำทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้น
คุณค่อยขยายมันภายหลังได้
แต่อย่างน้อยคุณเห็นภาพใหญ่ หรือ ไม่จำกัดตัวเอง
แคบจนเกินไป
มาริหมายถึงว่า… คุณอาจจะเริ่มเพียงตัวเดียว
แล้วทำให้มันติดตลาด แล้วค่อยขยายภายหลังก็ได้ค่ะ
……………………………………………………………..
ยกเว้น ว่า ณ ตอนนี้ คุณเป็น Top10หรือ Top5 ของวงการ
คุณค่อยอยากแคบ อยากลึก เท่าไร ก็ว่ากัน…
……………………………………………………………..
ถ้าคุณมองตัวเองว่าคุณ “ขายของ”
ลูกค้าคุณจะแคบ
ถ้าคุณมองตัวเอง คือ “ธุรกิจ”
ลูกค้าคุณจะ “กว้างขึ้น”
……………………………………………………………..
และเป็นไปได้อีกว่า….
ถ้าคุณมองตัวเอง คือ ธุรกิจ
คุณจะเริ่มมองเห็นช่องทางการแก้ปัญหา
หรือเห็นโอกาสมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าคุณมองตัวเองว่า ฉันขายก๋วยเตี๋ยว
คุณก็จะมองหาแต่ลูกค้าที่จะกินก๋วยเตี๋ยว
หรือบางคนมองแคบกว่านั้นอีก
คือ มากินที่ร้าน(หรือไม่ก็มาซื้อกลับไปกินที่บ้าน)
แต่ถ้าคุณมองว่า มันคือ ธุรกิจอาหาร
(เพียงแค่สินค้าเด่นของคุณตอนนี้คือ ก๋วยเตี๋ยว)
คุณจะเริ่มมองเห็นปัญหา หรือ
ตอบโจทย์อะไรบางอย่าง
อาหาร ช่วยอะไรคนได้บ้าง
เช่น ช่วยให้อิ่ม ช่วยให้ประทังความหิว ช่วยให้ได้บุญ
ช่วยให้เป็นของฝาก
ช่วยให้เกิดความประทับใจหรือความทรงจำ
ช่วยให้ไม่เจ็บป่วยง่าย…..
เป็นไปได้ว่า…
คุณอาจจะได้ก๋วยเตี๋ยวที่ไม่ซ้ำใคร
จนเป็นเอกลักษณ์ เพื่อดึงคนเข้าร้านก็ได้
คุณอาจจะได้ช่องทางขายร่วมกับแกร็บหรือฟูดแฟนด้า
เพราะว่าช่วยแก้ปัญหาเรื่องความหิว เรื่องอิ่มท้อง
ไม่ได้มองว่าต้องแค่ขายหน้าร้าน
คุณอาจจะได้ลูกค้ากลุ่ม อยากทำบุญ ทำโรงทาน ถวายเพลพระ เพิ่มเติม…เป็นต้น
#คุณเลือกสนามลงแข่งได้
……………………………………………………………..
ถ้าคุณมองตัวเองว่าคุณ “ขายของ”
ลูกค้าคุณจะแคบ
ถ้าคุณมองตัวเอง คือ “ธุรกิจ”
ลูกค้าคุณจะ “กว้างขึ้น”
……………………………………………………………..
หวังว่า…บทความนี้
น่าจะพอจุดประกายไอเดีย
หรือทำให้หลายๆ คนได้เห็นลูกค้าของตัวเอง
ช่องทางการขาย หรืออะไรๆ เพิ่มเติมขึ้นมาบ้างนะคะ
ถ้าคิดว่ามีประโยชน์โปรดแชร์
ถ้าชอบกด “ใช่”
ถ้าไลค์กด “แชร์”
แฮร่!!!
#มาริ
#การตลาดเข้าใจง่าย
#การตลาด
#ลูกค้า
#ผู้บริโภค
#กลุ่มเป้าหมาย
หลายครั้งมาริเห็นคนขายของ
ทำธุรกิจ เมื่อเจอปัญหา แล้วมักจะ…..
เกิดความท้อแท้ พร่ำบ่น จมอยู่กับปัญหา
มันเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้
แต่….ใครที่มีสติและลุกขึ้นมาเผชิญได้ไวเท่าไรต่างหาก
คือคนที่จะได้เข้าใกล้ความสำเร็จ และความร่ำรวย
……………………………………………………
#แล้วมันเกี่ยวกับการตลาดยังไง?
ทุกครั้งที่มีปัญหามีปัญญาซ่อนอยู่เสมอ
ถ้าคุณหาเจอ….ผู้คนจะยินดีจ่ายตามมูลค่าที่คุณมอบให้
ยกตัวอย่างเช่น
หลายคนอยากขายออนไลน์
แต่เปิดเพจไม่เป็น ทำเว็บไม่ได้ ใช้ Line OAไม่เก่ง
คุณอาจจะคิดว่า เรื่องเล็กๆแค่นี้ ไม่น่าจะมีมั้ง
แต่เชื่อมั้ยคะ คนจำนวนไม่น้อยที่รอการแก้ปัญหานี้อยู่
ถ้าคุณรู้วิธีแก้ หรือคุณเคยผ่านปัญหาเหล่านี้มาก่อน
คุณใช้สติปัญญาจนเจอทางออก…
สิ่งนี้จะมีมูลค่าหรือมีผลตอบแทนคืนกลับหาคุณเสมอ
……………………………………………………
ผลตอบแทนแรกที่คุณได้เลย คือ คุณเก่งขึ้นอีกระดับ
ผลตอบแทนที่ 2คือ ถ้ามีคนที่มีปัญหาแบบเดียวกัน
หรือคล้ายๆ กับที่คุณเจอ คุณช่วยเขาได้
เขายินดีจ่ายให้คุณแน่นอน
แต่…..
มูลค่าของมันจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ
#ระดับที่คุณเลือกเล่น
……………………………………………………
มีตั้งแต่
คุณเขียนหนังสือให้เขาอ่านแล้วเขาแก้ปัญหาได้
คุณเปิดคอร์สออนไลน์ให้เขาศึกษาเอง
คุณให้คำปรึกษาให้แนวคิดอย่างใกล้ชิด
คุณช่วยเขาทำ
คุณทำให้เขา
คุณวางกลยุทธ์ให้จนเขามีรายได้
ระดับมูลค่าหรือเงินที่เขาจะจ่ายกลับมาก็ต่างกัน
ความรู้อื่นๆ
สินค้าและบริการอื่นๆก็หลักการคล้ายกัน
คือผลิตหรือสร้างมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาอะไรซักอย่าง
……………………………………………………
คุณอาจจะแย้งต่อไปอีกว่า….
ถ้าปัญหานั้น มันไม่ได้มีคุณแก้ได้คนเดียวล่ะ
มีคนอื่นอีกเยอะแยะที่ทำได้เหมือนกัน
แล้วมันจะช่วยให้คุณสร้างมูลค่าจากมันได้อย่างไร?
……………………………………………………
มันอาจจะเป็นไปได้ว่า….
คุณมีความสามารถหรือมีปัญญา
มีเทคนิค หรือ วิธีการ ที่คุณผ่านมันมาด้วยตัวเอง
ความรู้ที่สะสม ประสบการณ์ มันทำให้ผู้คนเลือกคุณ
หรือทำให้คุณเข้าถึงข้อมูลนั้นมากกว่าคนอื่น
เช่น มีวิธีแก้นะแต่เป็นภาษาอังกฤษ
คนขี้เกียจอ่าน หลายคนกลัวแปลผิด
หลายคนไม่เก่งภาษาอังกฤษ
ทำให้เขาแก้ปัญหานั้นๆไม่ได้
หรือเลือกแก้ปัญหาจากปัญญาของคุณ
แทนที่จะไปอ่านเอง เป็นต้น
……………………………………………………
คุณมีคอนเนคชั่น เข้าถึงสิ่งที่คนอื่นเข้าไม่ได้
เช่น คุณมีเครือข่าย มีข้อมูล เอาสินค้าไปวางขาย
ในห้าง ส่งออก นำเข้า ได้ดีหรือมีจุดเด่นกว่าคนอื่น
นั่นก็เป็นไปได้ว่า ผู้คนที่มีปัญหาจะยอมจ่ายค่าปัญญาให้คุณ
หรือคุณเป็นที่พัก มีบริการ ที่เชื่อมกับสถานที่อื่นๆ
มีช่องทางที่ดัง คนอื่นเลยอยากให้คุณช่วยแก้ปัญหา
โดยขอมาแปะกับคุณ ให้คุณช่วยโปรโมท
หัก% กินส่วนต่าง หรือต่างตอบแทนในรูปแบบอื่นๆ
เพราะปัญหาที่คุณเคยผ่านมาก่อน
และปัญญาที่คุณมี ทำให้คุณเดินทางมาถึงวันนี้
มันมีมูลค่าซ่อนอยู่เสมอ
……………………………………………………
แต่…..ถ้าคุณยังเลือกที่จะจมกับปัญหา
พร่ำบ่น และท้อแท้
ก็เป็นไปได้ว่า
นอกจากคุณจะยังไม่เจอทางออกของปัญหา
ไม่เจอปัญญาที่ซ่อนอยู่
คุณก็จะไม่เจอหนทางสร้างมูลค่า
หรือหนทางสร้างเงินของคุณอีกด้วย
ทุกครั้งที่มีปัญหามีปัญญาซ่อนอยู่เสมอ
ถ้าคุณหาเจอ….ผู้คนจะยินดีจ่ายตามมูลค่าที่คุณมอบให้
ถ้าคิดว่ามีประโยชน์โปรดแชร์
ถ้าชอบกด “ใช่”
ถ้าไลค์กด “แชร์”
แฮร่!!!
#มาริ
#การตลาดเข้าใจง่าย
#การตลาด
#ลูกค้า
#แก้ปัญหา
#ช่องทางการหารายได้
หลายคนคงเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า…
เราจะยังจำเป็นต้องมีหน้าร้านอยู่มั๊ย
การออกบูธ หรือ การทำออฟไลน์
มันยังโอเคอยู่รึเปล่า
คือ การที่จะฟันธงว่ามันดีหรือไม่ดีนั้น
มันอยู่ที่หลายอย่างค่ะ เช่น
ของบางอย่างมันจำเป็นต้องมีหน้าร้าน มันก็ต้องมี
อย่างไปให้คุณหมอตรวจ ไปสักคิ้ว ไปกดสิว ไปตัดผม
ของบางอย่างจะมีหรือไม่มีก็ได้ เช่น
เสื้อผ้า (เมื่อก่อนไม่มีมันดูแปลกๆ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีก็ขายได้)
………………………………………………………………………………
แต่บางครั้ง หากทั้งสอง ช่องทางมันช่วยเสริมกันได้
หรือ ทำควบคู่กันได้ เราก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งทางใดทางหนึ่งค่ะ
เพียงแต่อาจจะให้น้ำหนักต่างกัน
(Omni Channel ศัพท์นี้เอาไปค้นเพิ่มเติมได้ค่ะ)
คือ มาริเชื่อว่า ทุกวันนี้ออนไลน์มันดีอยู่แล้วแหละ
แต่แค่อยากจะบอกว่า…
บางครั้ง การสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า
การให้ลูกค้าได้มาสัมผัสของจริง
ณ ปัจจุบันนี้ การทำแบบมีหน้าร้าน หรือแบบออฟไลน์
ก็ยังให้ความรู้สึกมากกว่าการทำออนไลน์เพียงอย่างเดียว
ออนไลน์ช่วยดึงคน ช่วยตอกย้ำให้จดจำ ช่วยทำให้อยากแชร์ ช่วยดึงให้คนอยากมา
แต่ออฟไลน์หรือหน้าร้าน ช่วยสร้างประสบการณ์
………………………………………………………………………………
ทำไมต้องเลือก ถ้า….
ถ้ามันเสริมก็ไม่ต้องทิ้งทางใดทางหนึ่ง
แต่ถ้า….มันเสีย ตอนนั้นค่อยเลือกก็ได้ค่ะ
ในที่นี้ เสีย หมายถึงว่า มันดูไม่คุ้มกะเวลา และเงิน เอาเสียเลย
(คือ ของบางอย่าง สั้นๆ อาจยังไม่เห็นว่ามันได้อะไรกลับมา
แต่ระยะยาวถึงคุ้มค่าก็มีค่ะ อย่างเรื่องของการสร้างแบรนด์
อย่างนี้ต้องมองยาวหน่อยค่ะ)
………………………………………………………………………………
อย่างเช่น คุณเริ่มสังเกตเห็นว่า….
เอะ!! สัดส่วนลูค้าแทบจะ 70-80% เลย สั่งออนไลน์
หน้าร้านแทบไม่ต้องมีก็ยังได้ หรืออย่างเต็มที่
เราก็ไปนัดเจอ ไปพรีเซนต์ให้ลูกค้าเห็นที่อื่นๆแทน
ไม่จำเป็นต้องมาที่หน้าร้าน
พอคิดสะระตะแล้ว โอ้ว ค่าเช่า ค่าพนักงาน
ค่าเสื่อม ค่าเอฟเวอร์รี่ติง จิงกะเบล
มันเริ่มเป็นอะไรที่ต้องจ่ายตลอด ค่าคงที่ แต่ไม่ค่อยจะคุ้มแล้ว
เอาเงินที่เสียตรงนี้ ไปพัฒนาช่องทางออนไลน์
หรือเสริ์ฟถึงบ้านให้ลูกค้าดีกว่า…
แบบนี้เลือกได้เลยค่ะ (เลือกบนฐานข้อมูลที่เรามี)
หรือค่อยใช้วิธีอื่นๆ เช่น ออกบูธบ้างเพื่อสร้างกิจกรรม
หรือได้สร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า ได้เกิดการสัมผัส
แทนการเปิดหน้าร้านตลอดเวลา
หรือไม่ก็…เปิดเป็นช่วงแทน เพื่อให้ลูกค้าเห็นคุณค่า
และเราง่ายต่อการบริหารจัดการ
(โดยเฉพาะคนที่ทำท่องเที่ยวเชิงเกษตรนะคะ
เปิดตลอดเวลา
ตอนที่ไม่มีอะไรมาโชว์มันเหนื่อย
แบกต้นทุน คนก็ไม่ไปเที่ยว อะไรแบบนี้
ลองปรับวิธีออนไลน์เข้ามาช่วยได้นะคะ)
เป็นต้น
………………………………………………………………………………
พอเห็นภาพนะคะ
กล่าวโดยสรุปก็คือ
ถ้าระหว่างออฟไลน์ กับ ออนไลน์
มันเสริมกันดี พี่ก็ไม่จำเป็นต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง
ทำมันทั้งคู่ แต่ใช้วิธีแบ่งน้ำหนักไม่เท่ากันแทน
หรือเน้นเป็นช่วงๆ แทน
แต่ถ้าทำทั้งคู่ แล้วมันเสีย ไม่ส่งเสริมกัน
พี่ค่อยเลือกฟันธงเพื่อโฟกัสให้สุดทาง ก็ได้คร่าาา
ทำไมต้องเลือก ถ้า “มันดีทั้งคู่”
ทำไมไม่เลือก ทั้งคู่เลยล่ะ
หลายคนเปิดเพจ หรือ ขายของมาซักระยะ
แล้วเริ่มรู้สึกท้อ
เพราะเริ่มขายไม่ดีแบบเมื่อก่อน
หรือบางคนยังขายไม่ได้
……………………………………………………………………
ขายไม่ดี หรือ ขายไม่ได้
ไม่ได้แปลว่า……
สินค้าหรือบริการไม่ดีเสมอไปนะคะ
……………………………………………………………………
แต่มันอาจเกิดจากเรื่องต่อไปนี้หากลองเอาไปปรับดูมันอาจจะดีขึ้น
1. ช่วงระยะเวลา เช่น ปลายปี คนแข่งกันทำโปรโมชั่นเยอะอาจจะขายยากหรือแข่งกันสูงกว่าช่วงอื่น
หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น น้ำท่วม(สินค้าบางอย่างอาจจะมีผลกระทบ โดยเฉพาะขายแบบออฟไลน์อย่างเดียว)
2. คนยังไม่รู้จัก หรือ ยังไม่เจอ ร้านเรา
3. เรายังไม่เด่นพอ หรือ ตัวเลือกมันเยอะมาก ไม่แตกต่างหาที่ไหนก็ได้
4. ความน่าเชื่อถือ เรายังไม่มากพอ เลยทำให้เกิดข้อกังขา
หรืออื่นๆ
……………………………………………………………………
ลองวิเคราะห์ตัวเองดูนะคะ
ว่าจริงๆ แล้วมันเกิดจากเรื่องไหน
แล้วค่อยๆ ลองปรับดู
เพราะถ้ายังขายไม่ดี ขายไม่ได้ แต่ยังทำแบบเดิม
ผลลัพธ์มันก็จะไม่ต่างจากเดิม
……………………………………………………………………
ยกตัวอย่างเช่น
คนยังไม่รู้จักร้านเรา หรือยังหาเราไม่เจอ
เราอาจจะต้องเพิ่มเติมในเรื่องช่องทางรึเปล่า
เราต้องดูว่า ว่าที่ลูกค้าเรา ส่วนใหญ่ใช้ช่องทางไหนเป็นหลัก
แล้วเราก็เอาตัวเองไปเสนอหน้า หรือ โผล่ไปบ่อยๆ เช่น
ถ้าเป็นสินค้าแฟชั่น IG มันจะโออยู่นะ
แต่เราก็ยังทำแต่เพจอย่างเดียว อย่างเดียว และอย่างเดียว
โดยไม่ทำอะไรเพิ่มเติม เป็นต้น
หรือ เราอาจจะต้องมามองเรื่องการทำ SEO หรือ Google Ads
เพิ่ม หรือ ต้องพึ่งการยิง Ads เพิ่ม
นอกเหนือจากการรอ
ให้คนเข้าถึงแบบไม่ใช้เงิน (แบบ Organic Reach)
หรือหวังเพียงยอดแชร์อย่างเดียว เป็นต้น
……………………………………………………………………
ขายไม่ดี หรือ ขายไม่ได้
ไม่ได้แปลว่า……
สินค้าหรือบริการไม่ดีเสมอไปนะคะ
……………………………………………………………………
ยกตัวอย่างเช่น
เรายังไม่เด่นพอ หรือ ตัวเลือกมันเยอะมาก ไม่แตกต่าง หาที่ไหนก็ได้
เราอาจจะต้องออกมาทำอะไรบางอย่างให้มันแตกต่าง
อย่างเอาตัวตนของเราออกมานำเสนอ
ควบคู่กับไปสินค้าหรือบริการของร้านเรา
เราอาจจะต้องมีคำพูดฮิต โปรโมชั่นฮอต ที่มันดูพิเศษเฉพาะเรา
เราอาจจะต้องมีบุคลิกที่ดึงดูด น่าประทับใจ อยากให้คนอยากซื้อกับเรา
เราอาจจะต้องมีแอดมิน ที่คอยตอบหรือช่วยแก้ปัญหา
ให้คนที่อยากได้หรือแก้ปัญหาลูกค้า จริงๆ
ไม่ใช่แอดมินที่ถามกี่ทีก็ไม่ต่างจากหุ่นยนต์ตอบ
ลูกค้ายังงงอยู่ ก็ไม่คิดหาวิธีอื่นๆ มาอธิบาย
แล้วก็คิดอยู่ในใจ งี่เง้าชิป ไม่คุยแล้ว เรื่องเยอะ
อะไรทำนองนี้
……………………………………………………………………
บางครั้งสินค้าดีๆ ไม่ได้ถูกส่งต่อ
เพียงเพราะ….
ต้นตอของปัญหา ไม่ถูกค้นพบ
……………………………………………………………………
ทางแก้คือ….
คุณลองตั้งสติ ให้สงบ
ลองค่อยๆ นั่งไล่ดูผลงานที่ผ่านมา
ว่าเราทำอะไรไปบ้างแล้ว
อันไหนมันเวิร์ค มันไม่เวิร์ค
อันไหนยังไม่ได้ทำ เผื่ออยากจะลองทำ
……………………………………………………………………
อีกไม่ถึง 60 กว่าวัน ก็จะขึ้นปีใหม่
เปลี่ยนไปอีกปี พ.ศ.แล้ว
ถ้าปีนี้ มันยังไม่ใช่ปีของคุณ
แล้วคุณก็ยังเลือกทำแบบเดิม
ปีหน้าก็เป็นไปได้ว่า…
มันไม่ใช่ปีของคุณอีก
อยากให้มันผ่านไปอีกเดือน อีกปี หรือ อีกสิบปีรึเปล่าคะ
ลองเสียเวลาทบทวนดูซักนิด
คุณอาจจะพบว่า….
เฮ้ยยย!!! สิ่งที่ติด มันแค่นี้เองเหรอ
……………………………………………………………………
เบื่อค่ะ ทำไมลูกค้าไม่เข้าใจสิ่งที่เราพูดซักทีค่ะ
คือ ถามๆๆอยู่นั่นแหละ แล้วก็ไม่ซื้อ
เสียเวลามากเลยค่ะ มาริพอจะมีวิธีช่วยมั๊ยคะ
ก่อนอื่นจะขอบอกอย่างนี้นะคะ ลูกค้าก็มีหลายประเภท บางทีก็อาจจะเกิดจากตัวลูกค้าเอง
ที่ต้องการเปรียบเทียบข้อมูล หรือ เป็นคนละเอียด แต่บางครั้ง….. เราเองก็มีส่วนค่ะ
……………………………………………………………………………
ซึ่งการอธิบายข้อมูลให้ลูกค้าเข้าใจ ก็มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออยู่ไม่น้อย สาเหตุหลักๆ ที่มาริเจอบ่อยๆ คือ