พื้นฐาน หลักการตลาด การตลาดออนไลน์ พฤติกรรมผู้บริโภค Customer Behavior การตัดสินใจซื้อ กระบวนการตัดสินใจซื้อ พฤติกรรมลูกค้า การซื้อของออนไลน์ การซื้อขาย การตลาด ทำความเข้าใจได้ง่ายๆ ที่นี่ พร้อมตัวอย่างประกอบจากธุรกิจจริง

“อยากเขียนคอนเทนต์ให้ขายได้” มีสิ่งนี้รึยัง?

เมริอ่านคอนเทนต์ของพี่แล้วรู้สึกยังไงบ้าง?

พี่คนนึงถามขึ้น หลังจากเรานั่งกินกาแฟด้วยกัน

เมริ: เนื้อหาดีมากเลยนะพี่ แต่….

พี่ลองดูบทความของคนนี้นะคะ

โหยาวจัง พี่เขาตอบ แต่ก็อ่าน

อ่านไปซักพัก เมริก็เลยถามกลับไปว่า..

อ่านแล้วพี่รู้สึกยังไง?

พี่เขาตอบกลับมาว่า

พี่ว่าเนื้อหามันคล้ายๆ ของพี่เลย

แต่มันก็ไม่เหมือนซะทีเดียวนะ 

มันสนุกดีแฮะ  ของพี่ดูแห้งๆ ไปเลย

.……………………………………………………………………

ช่ายค่ะ สิ่งที่เมริอยากจะบอกพี่คนนั้น

กับคุณที่กำลังนั่งอ่านอยู่ตรงนี้

.……………………………………………………………………

เคล็ดลับอีกหนึ่งสิ่งที่จะช่วยให้คุณขายได้ดีขึ้น

นั่นคือ แทม แท๋ม แท้มมมมมม!!!

“ตัวละครเอก”

“ความมีชีวิตชีวา”

“เรื่องเล่า”

.……………………………………………………………………

ลองคิดภาพตามเมรินะคะ

ทำไมเราถึงจำและสนใจประวัติศาสตร์มากขึ้น

หรืออยากแต่งตัวชุดไทยทมากขึ้น 

หลังจากที่เราดู บุพเพสันนิวาส

.……………………………………………………………………

ทำไมความเชื่อเรื่องพญานาคถึงเป็นที่สนใจมากขึ้น

และคนไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ที่พี่มดดำเอามาเล่าในรายการแฉ

.……………………………………………………………………

บางครั้งการขายก็เกิดจากการไม่ขาย

หรือเกิดจากคอนเทนต์ / เนื้อหา / วีดีโอ  

จนทำให้เกิดความอยากได้ อยากซื้อ อยากไป อยากเป็นบ้าง

.……………………………………………………………………

สมมติ คุณหมอคนนึงเขียนบทความหน้าเพจ

และในบล็อกของตัวเอง

พูดแต่เรื่องกระบวน ผลิตเมลานิน

สารอารตามผลิตไม้ต่างๆ ที่ช่วยให้ผิวสวย

ลดรอยเหี่ยวย่น

และคุณหมอคนอื่นๆ

เพจความงามอื่นๆ

ก็เขียนคล้ายๆ กัน เอาเป็นว่า บางทียังกับก็อบกันมาเลย

สลับบรรทัดนิดหน่อย  เปลี่ยนและเป็นหรือ 

อ่านไปเราก็แทบจะจำไม่ได้ ว่าไปเจอที่ไหนมา ไปอ่านที่ไหนมา

หรือยังกับเกิดแดจาวู ว่าเอ๊ะ!! ทำไมเหมือนเคยอ่านมาแล้ว

.……………………………………………………………………

แต่พอมีหมอคนนึงออกมาเล่าให้ฟังว่า

มีคนไข้ที่เคยมาปรึกษา

เขาไปนอนอาบแดดกับแฟนฝรั่งมา

หน้ากับผิวนี้ไหม้เลย….

ปรากฎว่า แฟนฝรั่งกลับมา

จำไม่ได้ ผิวนี้กลับไปขาวเกือบเท่าเดิม แค่เวลาเดือนกว่าๆ

หมอแนะนำให้เขาทำแบบนี้ค่ะ…..

ตอนแรกเขาก็ไม่คิดว่าจะได้ผลเร็วขนาดนี้

.……………………………………………………………………

คุณว่า… คุณจะจำ หรือ นึกถึง  หรือ อยากไปใช้บริการกับ….

หมอคนนี้ หรือ หมอคนก่อน กับเพจก็อบวาง ก็อบวาง อันไหนมากกว่ากันคะ ?

.……………………………………………………………………

หลายคนก็บอกว่า…

ฉันก็มีเรื่องเล่านะ แต่เหมือนก็เงียบๆ ไม่มีคนทัก ไม่มีคนแชร์เท่าไร

คุณเล่าเรื่องแบบนี้รึเปล่าล่ะ ?

ตอนเข้า พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก

พอตอนกลางวัน มันจะอยู่ตรงกลางศรีษะของเรา

แล้วพอตอนเย็นมันก็ตกทางทิศตะวันตก

แล้วตอนกลางคืนก็จะมองเห็นพระจันทร์แทนพระอาทิตย์

นึกภาพออกมั๊ยคะ

.……………………………………………………………………

มันก็ไม่ต่างกับคุณเอาข้อมูลมาเรียงๆ 

แต่ขาดความมีชีวิตชีวา

ขาดอารมณ์ ขาดตัวละคร

เหมือนคุณเอาคุณสมบัติของสินค้ามาเรียงๆ ต่อกัน

.……………………………………………………………………

สมองของคนเราจำเรื่องเล่าได้ดี

สนใจเรื่องราวได้มากกว่าข้อมูลทั่วไป

.……………………………………………………………………

วิธีการที่เมริจะแนะนำในวันนี้คือ…

นอกจากคุณมีพาดหัวที่ดีแล้ว

คุณควรทำให้บทความของคุณน่าติดตาม

หรืออย่างน้อยก็ดึงคนอ่านให้อยู่กับคุณ จนถึงสิ่งที่คุณอยากบอก

หรือไม่ ก็ทำให้เขาชอบคุณ เชื่อคุณ จำคุณได้ 

ให้เขารู้สึกคนคือ ความแตกต่าง

ด้วยการ “ใช้ความมีชีวิตชีวาเข้าไป”

วิธีการนี้ค่อนข้างเหมาะกับ คอนเทนต์

ในเพจ ในเว็บไซต์ ในบล็อก หรือแม้แต่ใน E-mail

ส่วนถ้าคุณจะใช้ Line OA ก็ใช้สำหรับประกาศให้เขาไปอ่านต่อ

ตาม เพจ เว็บไซต์ บล็อก หรือ ดูวีดีโอของคุณ จะเหมาะกว่าที่เล่ายาวๆ ผ่าน Line

(วิถึสายยาว ไม่ใช่แนว IG )

.……………………………………………………………………

แล้วมันจะช่วยให้ขายดี ได้ยังไงล่ะ ?

คอนเทนต์หน้าเพจ/บล็อก/เว็บไซต์

คือ “โพสต์ขาย แบบไม่ขาย” อย่างนึง

(มันคือการตลาดอย่างนึงค่ะ)

หลายคนเขียนเซลล์เพจดี โพสต์ขายก็ใช้ได้

แต่บางทีเราก็ขอกดเข้าไปดูเพจ ดูเว็บ เขานิดนึง

ก่อนจะซื้อ

.……………………………………………………………………

สิ่งเหล่านี้มันช่วยให้เรารู้สึกว่าควักเงินง่ายขึ้น 

ถ้าคุณเป็นคนขี้อาย เก็บตัว มีโลกส่วนตัวสูง

ไม่อยากเล่าเรื่องของตัวเอง

ก็เล่าเรื่องของลูกค้า เพื่อน คนรู้จัก คนดัง แทนก็ได้

ที่มันเชื่อมโยงกับสินค้าหรือบริการของคุณ

(บางทีมันกลายเป็นรีวิวชั้นดีเลยแหละ)

แต่อย่าลืมทำให้มันมีชีวิตชีวา ด้วยล่ะ

เพราะข้อมูลทุกวันนี้มันหาง่าย

แต่ใช่ว่าข้อมูลเดียวกันจะทำให้ “เขาเลือกคุณ”

.……………………………………………………………………

ยังไม่เก่งไม่เป็นไรนะคะ

ฝึกไปด้วยกัน แรกๆ มันจะยังไม่ชินค่ะ เมริเองก็เป็น

และทุกวันนี้ก็ยังฝึกอยู่ พอได้ไอเดียอะไรดีๆ ก็เลยอยากเอามาแบ่งปัน

ไม่ต้องกลัวว่าเขียนยาว คนไม่อ่าน

เพราะถ้าเขาไม่อ่าน มันมี 2 อย่างคือ

เรายังเขียนไม่ดีพอ

หรือเขาไม่ใข่ว่าที่ลูกค้าตัวจริงของเรา

.……………………………………………………………………

“อยากเขียนคอนเทนต์ให้ขายได้” คุณมี……แล้วรึยัง ?

เปิดเพจไว้แต่ไปต่อไม่เป็น
นี่ใช่คุณรึเปล่า

เปิดเพจไว้ แต่ไปต่อไม่เป็น ทำยังไงดี ?
ใครเป็นแบบนี้บ้างคะ
บางคนตอนเริ่ม ไฟลุก พร้อมลุย แล้วก็ลุย
“แต่ซักพักก็เลิกไป” หรือไม่ก็ปล่อยร้างไว้
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?
……………………………………………………………………….

เปิดเพจมันง่ายค่ะ กดเพียงไม่กี่คลิกก็มีเพจแล้ว
แต่ปัญหาของคนส่วนใหญ่ คือ….
เปิดเพจแล้วยังไงต่อ ? “ไปต่อไม่เป็น”
หลายคนรู้นะคะว่าเป้าหมายคือ “ขายของ”
หลายคนรู้นะคะว่าเป้าหมายคือ “สร้างรายได้”
ไม่ว่าจะเป็นรายได้หลัก หรือ รายได้เสริมก็ตาม
……………………………………………………………………….

นี่เป็นอีกสาเหตุนึงที่ทำให้พี่เมริตัดสินใจ
ทำ E-book กับเนื้อหา “เริ่มต้นแบบมือใหม่ขายได้แบบมือโปร”
เพราะพี่เมริเป็นคนนึงที่เคยอยู่ ณ จุด ๆ นั้นมาก่อน
พี่เมริจะเอาแก่นบางส่วนมาแบ่งปันผ่านบทความนี้
สาเหตุหลักๆ เพื่อเป็น Checklist ของตัวคุณเองคือ…
……………………………………………………………………….

1. คุณยังไม่รู้เลยว่ากลุ่มเป้าหมาย ว่าที่ลูกค้าของคุณ คือ ใคร ?
ถ้าคุณขายของให้ทุกคน คุณจะขายไม่ได้เลยซักคน
หรือ ขายได้แต่น้อยมาก
มันไม่ใช่แค่คุณบอกว่า “ขายให้ผู้หญิง อายุ 25-35 ปี ที่อยากหุ่นดี”
แล้วความต้องการของผู้หญิง 27 ปีที่โสด
กับ ผู้หญิง 27 ปีที่แต่งงานแล้ว
และผู้หญิง 27 ปีที่มีลูกแล้ว
แรงจูงใจที่อยากหุ่นดีของเขาเหล่านั้น คืออะไรคะ ?
อาจแตกต่างกันก็ได้ รูปแบบชีวิต สิ่งที่เขาสนใจ กิจกรรมชีวิตของเขาส่วนใหญ่เป็นแบบไหน
คุณว่า สื่อสารเรื่องราวไปหากลุ่มคนที่เป็น
“คนแก่” กับ “คนที่สนใจคนแก่” หรือ “ที่บ้านมีคนแก่” แตกต่างกันมั๊ยคะ ?
คุณควรตอบตัวเองหรือเคลียร์ตรงนี้ให้ชัดค่ะ
……………………………………………………………………….

2. ทำไมเขาต้องมาซื้อกับคุณ ทำไมเขาถึงต้องเลือกคุณล่ะ ?
สมมติว่าคุณตอบตัวเองข้อ. 1. เคลียร์แล้ว
คุณจะสามารถนำเสนอเนื้อหา ทำคลิป เขียนบทความ เอารูปที่ใช้ในเพจ
ในโพสต์ได้ตรงใจกลุ่มเป้าหมายหรือว่าที่ลูกค้าได้ดีขึ้น กว่าคนที่ไม่ชัดในข้อ 1.

ทีนี้คำถามถัดไปคือ แล้วคุณมีอะไรที่แตกต่าง หรือต้องมาเลือกซื้อกับคุณล่ะ
โอเค ถ้าสินค้าชิ้นนั้น มันคือ คุณคนเดียวที่ขาย ที่อื่นๆ ไม่มี
แต่หลายคนที่เปิดเพจ หรือ ขายของออนไลน์ คือ
เป็นตัวแทน ขายสินค้าที่คล้ายๆ กับคนอื่น
หรือบางคนทำแบรนด์ของตนเอง แต่สินค้าประเภทเดียวกันของแบรนด์อื่นก็มี
คุณตอบตรงนี้ได้ชัดมั๊ยคะ ? ถ้าคุณบอกว่า “คุณราคาถูกที่สุด”
อันนี้คุณเสี่ยงมาก เพราะถ้าคุณเงินไม่หนา
ราคาจุดที่เลียนแบบและก็อบบี้ได้ง่ายมาก
แถมทำได้ดีกว่าได้แบบไม่กี่วินาทีเลยทีเดียว
โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์
คุณลองหาจุดเด่น หรือ ตอบตัวเองตรงนี้ให้ได้นะ ยิ่งได้เยอะยิ่งดี
แต่อย่างไม่ได้เลย พอมีซัก 1 ข้อ หรือซัก 3 ข้อมั๊ยคะ
ถ้าคุณเจอ คุณจะได้ย้ำในส่วนนั้น เพื่อให้เขาเลือกคุณ
นั่นแหละค่ะ แนวทางในการทำเพจของคุณอีกหนึ่งหนทาง

……………………………………………………………………….

3. คุณกำลังยึดติด กับอะไรบาง โดยยังไม่ได้มองในมุมลูกค้า
เช่น คุณฟันธงเลยว่า ฉันจะขายครีมลดริ้วรอยยี่ห้อนี่แหละ แบรนด์นี้แหละ
ฉันเลือกแล้ว ไม่รวย ไม่เลิก เพราะคนอื่นที่ขายเขารวยกัน
แต่คุณอาจจะไม่เคยหันมองในมุมอื่นๆ เลย เช่น
สินค้ามันดีกับลูกค้าจริงมั๊ย หรือมันดีแต่กับคุณ เพราะคุณได้กำไร/ชิ้นเยอะ
แต่สินค้านี้ไม่ได้ดีจริงๆ ไม่ได้ผล คุณรู้ เพราะคุณเคยลองใช้แล้ว
หรือคุณเองยังไม่รู้จักสินค้าเลย เพียงแต่เขาทำการตลาดมาว่า…
เปิดบิลวันนี้ ได้ทอง ได้นี่ นั่นนู้น แล้วคุณก็รีบกระโจนคว้าโอกาสนั้นไว้
หลังจากนั้น สต๊อกก็มากองที่บ้าน หรือไม่คุณก็รีบปล่อยของต่อ
ทำไงก็ได้ ผลักออกจากเราให้เร็วที่สุด
การทำแบบนี้คุณจะทำได้แค่รอบเดียว หรือสั้นมากๆ
หรือไม่คุณก็คิดว่า เป็นเพราะคุณยิง Ads ไม่เก่ง ค่า Ads แพง
แต่หารู้ไม่ มันอาจจะเป็นจากข้อ 1-3 เลยก็ได้
……………………………………………………………………….

เพราะคุณไม่รู้จะขายใคร
เพราะคุณไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องเลือกคุณ
เพราะคุณค่า สินค้า /บริการของคุณ มันแก้ปัญหาให้ใคร
……………………………………………………………………….

ความมุ่งมั่นเป็นเรื่องดีนะคะ แต่ถ้าคุณมีเพียงความมุ่งมั่น
แต่คุณไม่มีความรู้ หรือ ไม่พัฒนา ปรับต่อ
“คุณจะก็จะเป็นแบบเดิม”
คุณเลือกได้นะคะว่า
“คุณจะก็จะเป็นแบบเดิม”
หรือ คุณจะเพิ่มเติมพัฒนาตัวเองต่อ เพื่อให้ “คุณได้ก้าวไปอีก Step”

……………………………………………………………………….

ขอสรุปอีกครั้งนะคะ สำหรับคนที่ติดปัญหา
เปิดเพจไว้ แต่ไปต่อไม่เป็น ทำยังไงดี ?
คุณลอง Checklist ตัวเองดูว่าคุณขาดข้อไหน
หรือติดอะไร
เพราะคุณไม่รู้จะขายใคร
เพราะคุณไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องเลือกคุณ
เพราะคุณค่า สินค้า /บริการของคุณ มันแก้ปัญหาให้ใคร
……………………………………………………………………….

ลองปรับ 3 ข้อนี้ก่อนค่ะ คุณจะมีอะไรให้ทำต่ออีกเยอะเลยค่ะ
……………………………………………………………………….

#พี่เมริ
#การตลาดเข้าใจง่าย
#เปิดเพจ
#เร่ิมต้นแบบมือใหม่ขายได้แบบมือโปร
#เปิดเพจไว้แต่ไปต่อไม่เป็น
#ขายของOnline

“คุณเขียนพาดหัวยังไง คุณก็ได้ลูกค้าอย่างนั้น”
แคปชั่น พาดหัว หรือ รูปที่เอามาใช้ หน้าปกวีดีโอ
ก็มีส่วนในการคัดกรองกลุ่มว่าที่ลูกค้า หรือ กลุ่มคนที่เราตามหาค่ะ

อยากได้ลูกค้าแบบไหน เขียนพาดหัวแบบนั้น Marketingmayri


ทำไมพี่เมริถึงพูดอย่างนั้น
ลองจินตนาการตามพี่เมรินะคะ
คุณว่า คนหน้าใสจะหยุดดูพาดหัวประเภทที่ว่า
“เปลี่ยนหน้าสิวให้สวยด้วย……”
หรืออีกซักตัวอย่าง
“จุดเสียดแน่นท้องทุกที อย่างนี้เป็นกรดไหลย้อนรึเปล่า”
คุณคิดว่า คนที่มีอาการดังกล่าว
หรือมีญาติๆที่เป็นอาการจุกเสียดแน่นท้อง
จะมีโอกาสหยุดอ่านข้อความเหล่านี้มั๊ยคะ?
……………………………………………………………………………….

ถ้าคุณรู้ปัญหาของว่าที่ลูกค้า หรือ เจอกลุ่มคนที่ใช่
และบอกได้อย่างชัดเจนว่าเขาเหล่านั้นคือใคร
ติดขัด หรือ ต้องการอะไรอยู่ คุณจะสามารถ
ทำ พาดหัว เขียนแคปชั่น เลือกรูปได้ตรงจุดมากขึ้นค่ะ
สินค้าอย่างเดียวกัน บริการอย่างเดียวกัน
มีความเป็นไปได้ค่ะ ที่เราอาจจะจับลูกค้ามากกว่า 1 กลุ่ม
และก็เป็นไปได้อีกเหมือนกันค่ะ
ที่สินค้าแบบเดียวกัน แต่เราจับลูกค้าที่แตกต่าง
หรือนำเสนอจุดเด่น จุดแตกต่างจากเจ้าอื่นในท้องตลาด

……………………………………………………………………………….

“อยากได้ลูกค้าแบบไหน ให้เขียนพาดหัวอย่างนั้น”
“คุณเขียนพาดหัวยังไง คุณก็ได้ลูกค้าอย่างนั้น”
คุณอยากได้ลูกค้า VIP ที่มีกำลังเงินจ่ายสบายๆ
พาดหัว Tittle หรือ คำที่ใช้ รูปที่ใช้
มันก็ไม่จำเป็นต้องมีคำว่า “ถูก”หรือ “คุ้ม”
แต่มันควรจะเป็นอะไรที่ดูแล้ว เน้นภาพลักษณ์
บริการที่เหนือกว่า สื่อถึงความบริการที่ดีกว่า
จริงมั๊ยคะ
(แม้ว่าคุณอาจจะมีโปรโมชั่นตบท้ายนิดหน่อยแต่มันก็ไม่ใช่หลักใหญ่ที่คุณจะสื่อให้เขาหยุดอ่าน)

แต่ถ้าคุณอยากได้ตลาดอีกกลุ่ม หรือ ตีประเด็นเรื่องราคา
คุณอาจจะต้องเลือกใช้คำประเภทที่ว่า “ถูกเว่อร์”
“คุ้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว” “ราคาหลักร้อย” เป็นต้น
……………………………………………………………………………….

ถ้าเรารู้จัก นึกหน้า ระบุได้ชัด
ว่ากลุ่มเป้าหมายของเราคือใคร
ถ้าเรารู้จักสินค้าและบริการของเราดีพอ
คุณจะสามารถเลือกแคปชั่น พาดหัว หรือ รูปที่เอามาใช้ หน้าปกวีดีโอ
ได้ดี และตรงมากขึ้นค่ะ
ถึงแม้เราจะเป็นมือใหม่ คำมันอาจจะไม่ได้ดูคมคายมากมาย
แต่อยากน้อย มันก็ดีกว่า การเขียนพาดหัว แบบไม่นึกถึงหน้าใครเลย
เพราะถ้าคุณสื่อสารถึงทุกคน คุณแทบจะนึกหน้าทุกคนไม่ออกเลยค่ะ
แต่ถ้าคุณนึกหน้า “ว่าที่ลูกค้า” ออกว่า
อ๋อ สินค้าฉันมันตอบโจทย์ น้องนักศึกษามหาวิทยาลัย
ผู้ชาย ท่ีดูเท่ห์หน่อย กระเป๋าสะพายที่เขาอยากได้
มันอาจจะไม่ต้องหรูมาก แต่ต้องมีสไตล์นิดนึง
มันก็จะง่ายขึ้นกว่า คุณว่ามั๊ยคะ
……………………………………………………………………………….

ครั้งถัดไป คุณลองนึกถึงหน้าว่าที่ลูกค้าของคุณให้ออก
ก่อนเขียนบทความ ก่อนเขียนโพสต์ขาย ก่อนทำคอนเทนต์ดูนะคะ
แล้วคุณก็จะรู้ว่า มันง่ายขึ้นกว่าเดิม
……………………………………………………………………………….

ทำยังไงให้ขายของได้

วิธีที่จะช่วยให้คุณขายของได้ง่ายขึ้น มีหลักการที่เรียบง่ายแบบนี้ค่ะ

ถ้ากลุ่มลูกค้าชัด คุณแค่….
หาสินค้า/ บริการ มาเสิร์ฟเพิ่ม
มันก็จะทำเงิน และต่อยอดได้ง่าย
แต่คนส่วนใหญ่กลับทำตรงข้าม
V
V
V
ทำเพจอะไรดี
เอาอะไรมาขายดี
ทำคอร์สเรียนอะไรดี
ให้ความรู้ ให้คุณค่าอะไรดี
ทำเงินจากโลกออนไลน์ ยังไงดี
………………………………………………………………….

คุณจะรู้ว่าอะไรดี แบบไหนดี แบบง่ายขึ้น
ถ้าคุณเริ่มจากคำถามว่า “ใครดี”
………………………………………………………………….

พี่เมริรู้ค่ะ ว่ามันขัดกับความรู้สึก มันดูขัดกับสิ่งเดิมๆ ที่เคยทำมา
แต่…ตอนนี้มันไม่ใช่ยุคอุตสกรรม!!!
ที่ผลิตๆๆๆๆ แล้วก็มีคนรอแห่ซื้อ
นึกออกมั๊ยคะ ?
………………………………………………………………….

คุณคงเคยได้ยินคำพูดนี้มาบ้าง
“ต้นทุนในการรักษาฐานลูกค้าเก่า ต่ำกว่าการหาลูกค้าใหม่”
“ลูกค้าเก่า คือ คนที่เคยเชื่อใจคุณมาแล้ว”
นี่คือเรื่องจริงค่ะ

ถ้าคุณมีฐานแฟน มีกลุ่มคนที่รัก และศรัทธา

โอกาสที่คุณจะเอาอะไรมาเสิร์ฟ
(แต่พี่เมริขอให้มันเป็นของดีนะคะ)
ย่อมมีโอกาสที่จะขายได้ ง่ายขึ้น
ลองสังเกตตัวคุณเองก็ได้นะคะ
ว่าคุณมีใคร มีร้านไหน มีแบรนด์อะไร ที่คุณเป็นสาวก
หรือซื้อเป็นประจำบ้างมั๊ย
………………………………………………………………….

สินค้าก็อปปี้ และเลียนแบบกันได้ง่ายมากขึ้นค่ะ
หรือยิ่งเป็นสินค้าทั่วๆไป
หาที่ไหนก็ได้ เซริ์ทแป๊บเดียวก็เจอ
สั่งออนไลน์ก็พร้อมมาส่ง
………………………………………………………………….

แต่…ฐานแฟน กับ กลุ่มคนที่ใช่
ที่รัก และ ศรัทธา เชื่อในคุณ
มันเหนียวแน่นกว่า…
(แม้ว่าเขาจะมีปันใจไปซื้อที่อื่น หรือ ลืมคุณบ้างในบางเวลา)
………………………………………………………………….

ก่อนที่จะเริ่มว่าหาอะไรมาขายดี ทำเพจอะไรดี
พี่เมริ อยากให้คุณลองมองในมุมใหม่
ถ้าฉันจะมีฐานแฟน ซักกลุ่มนึง ที่รักฉัน หรือ เชื่อฉัน
คนเหล่านั้นเขาเป็นใคร?

หรือไม่ก็ ลองถามคำถามในลักษณะที่ว่า
ถ้าฉันจะช่วยเหลือใครซักคน ด้วยความรู้ ความสามารถ
หรือของดีที่ฉันมี เขาเหล่านั้นคือใครกันนะ?

ถ้าหน้าของ “ว่าที่ลูกค้า” หน้าของ “ฐานแฟน”
หน้า “ว่าที่สาวก” ของคุณแจ่มชัด
คุณจะเห็นเลยว่า…อ๋อ กลุ่มคนเหล่านี้เขามีปัญหาอะไร
ฉันจะเอาอะไรมาขายได้บ้าง ฉันหาให้ความรู้ ให้คุณค่าอะไรดี
ฉันจะเขียนบทความ ทำคอนเทนต์ ทำคลิปยังไงดี
แล้วหลังจากนั้น สิ่งที่คุณติดเคยติดขัดทั้งหลาย มันก็จะชัดขึ้นตามมา
………………………………………………………………….

ลองเริ่มจาก Start with who ดูนะคะ
เริ่มต้น Who ของคุณซักกลุ่มเดียวก่อนก็ได้ค่ะ
แต่ถ้าคุณมั่นใจว่าคุณช่วยผู้คนได้มาก
Who ของคุณมันอาจจะมากกว่า 1 กลุ่มก็ย่อมได้
Who ที่พี่เมริบอก
มันอาจจะหมายรวมถึงเรื่องที่เขาสนใจ หรือ เรื่องที่เขามีปัญหาก็ได้
เช่น ฉันจะช่วยแก้ปัญหาคนที่นอนไม่หลับนี่แหละ
ฉันจะช่วยคนที่สนใจเรื่องธรรมะ
แล้วคุณค่อยไปตีกรอบเรื่องอายุ ทีหลังก็ยังได้
#เพราะลูกค้ามีมูลค่ากว่าที่เราคิด

………………………………………………………………….

วันนี้เขาอาจจะยังไม่ใช่ลูกค้า นั่นแหละค่ะหน้าที่ของเขา
เพราะถึงคุณจะเริ่มต้นด้วยการหาสินค้ามาขาย
ช่วงแรก คุณก็ต้องหาลูกค้าอยู่ดี
แล้วทำไมคุณไม่เริ่มจากหากลุ่มลูกค้าก่อนล่ะ ?

………………………………………………………………….

ถ้าคุณทำได้แบบนี้ โอกาสที่คุณจะทำเงินได้ก็จะง่ายขึ้นค่ะ
………………………………………………………………….

#พี่เมริ
#การตลาดเข้าใจง่าย
#EasyMarketing
#กลุ่มเป้าหมาย

เพจปลิวเพราะเกาะกระแส

ระวังพจปลิวเพราะเกาะกระแส

ปัญหาเพจปลิว ไม่มีใครอยากเจอ แต่บางครั้งความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อาจนำปัญหาเพจปลิวมาให้เราได้

พี่เมริเชื่อว่า มีมือใหม่หลายๆคน ที่อยากให้เพจเราโต
และเราก็เคยได้ยินมาว่า….เกาะกระแสเลย
เขาฮิตอะไร ก็ใส่ # หรือ เล่นตามเขามีโอกาสเพจโต
…………………………………………………………………….

อันนี้พี่เมริไม่เถียงค่ะ
เพราะพี่เมริเองก็มีใช้เทคนิคพวกนี้ด้วยเหมือนกัน
แต่….
คีย์สำคัญที่อยากจะมาแชร์วันนี้
สำหรับมือใหม่ หรือ หลายคนที่กลัวพลาด
คือ รู้ว่าต้องทำ แต่ไม่รู้ว่าต้องทำแบบไหน โพสต์แบบไม่ดูกฏหรือมัวแต่ห่วงเกาะกระแส
ไปๆมาๆ เพจปลิวได้ค่ะ
…………………………………………………………………….

พี่เมริขอให้ไอเดียสำหรับการเกาะกระแส
แบบป้องกันเพจปลิวคร่าวๆนะคะ
…………………………………………………………………….

ถ้ากระแสเหล่านั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ
การเมือง การเหยียดสีผิว ดูถูกเชื้อชาติ
ศาสนา เหยียดฐานะ
เลี่ยงได้ เลี่ยงดีกว่าค่ะ
(ยกเว้นคุณทำเพจด้านการเมืองอันนั้นคนละส่วนค่ะ)
เพราะมันอาจจะคนไม่ชอบ
เพจคุณถูกกด Report หรืออื่นได้ๆ
ถ้าเรามีอารมณ์ร่วมแบบสุดๆ
พี่เมริแนะนำว่า ไปในเฟสบุคส่วนตัวดีกว่าค่ะ
คือ เพราะไม่แน่ว่า….
ลูกเพจของคุณอาจจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคุณ
หรือ ลูกเพจของคุณเขาเห็นละอย่างกับคุณ
เดี๋ยวมันไม่ได้เป็นการเรียกลูกค้า แต่ไล่ลูกค้าค่ะ
และมันจะไม่ใช่เพจโต แต่เพจดาวน์แทนค่ะ

…………………………………………………………………….

แชร์เรื่องดราม่า หรือ หดหู่บ่อยๆ
อันนี้ไม่ได้มีผลกับเพจปลิวนะคะ
แต่มันจะทำให้บรรยายเพจหดหู่ ดูเข้าเพจนี้ทีไรอึมครึมทุกที
ยกเว้น คุณเป็นเพจแนวอกหัก หรือ แนวเหงา เศร้า ซึม
คือ ดูลักษณะเพจเราประกอบอีกที นอกจากกระแส
…………………………………………………………………….

หรืออย่างข่าวที่มันเป็นพวกภาพเปลือย ทารุณทางเพศ
อะไรแนวๆ นี้ พี่เมริคิดว่า
ถ้าคุณไม่ใช่เพจข่าว หรือ เพจแนววิเคราะห์ข่าว
คือ เป็นแบบเพจขายของ หรือ เพจความรู้
คือเอาง่ายๆ ว่า ไม่ได้ทำเพจเพื่อเป็นในลักษณะสื่อมวลชน
ก็แนะนำให้เลี่ยงอีกเช่นเดียวกันค่ะ
คือ บางอันมันไม่ได้ผิดแค่กฏเฟสบุคนะคะ แต่บางอันมันผิดกฎหมายด้วย
…………………………………………………………………….

ส่วนกระแสที่มันดูน่ารัก สนุกสนาน แล้วมันตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มลูกเพจเรา อันนั้นก็ทำได้เลยค่ะ มันช่วยให้เพจมีสีสัน
หรือเพิ่มโอกาสดันเพจให้โตได้ แต่ถ้าบางอันที่เป็นกระแส
แต่ว่า แหม ห่างไกลกับเพจเราหรือกับลูกเพจเรา
ก็ไม่ต้องเกาะทุกกระแสก็ได้จ้า
เลือกเอาที่เหมาะ

สรุปสั้นๆ แบบเข้าใจง่ายๆ คือ
อยากเกาะกระแสเพื่อช่วยให้เพจโต หรือ มีสีสัน ทำได้ค่ะ
แต่เลี่ยงที่เป็นการเหยียด แตกแยก รุนแรงต่างๆ
ถ้าอยากโพสต์แบบสุดๆ อดใจไม่ไหว ให้ไปใช้ช่องทาง
เฟสบุคส่วนตัวแทนดีกว่าจ้า
…………………………………………………………………….

เพราะเราอยู่บ้านของเฟสบุค
เราก็ต้องเคารพกฏในบ้านของเขาด้วยค่ะ
อย่าให้ความอยากโต หรือ อยากดังจนเกินไป
มาบดบังสายตา
หรือถ้าทำไปด้วยความไม่รู้ก็ยึดหลักคร่าวๆที่ว่า
อะไรที่ผิดศีลธรรม หรือดูรุนแรง ดูหมิ่น ดูแคลน
ก็ข้ามผ่านมันไป อย่าไปเกาะกระแสเหล่านั้น
(อันนี้พี่เมริหมายถึงกรณีที่เพจเราไม่ได้เป็นเพจที่ทำตัวเองเป็นสื่อมวลชนนะคะ)
…………………………………………………………………….
#พี่เมริ
#การตลาดเข้าใจง่าย
#มือใหม่หัดทำเพจ
#ป้องกันเพจปลิว
#ปั้นเพจให้โต
#OnlineMarketing
#DigitalMarketing

พี่เมริได้คำถามหลังไมค์เข้ามาค่ะว่า
กำลังอยากจะขายของแต่ยังไม่กล้าลงเงินเยอะ
เพราะไม่มั่นใจ และเคยเจ็บมาเยอะ
อยากให้การเริ่มต้นครั้งใหม่ดีกว่าที่ผ่านมา
พอจะมีวิธีมั๊ยคะ

พี่เมริอยากจะแชร์ไอเดียในการเทสตลาด
หรือทดสอบเบื้องต้น ซึ่งพี่เมริก็ใช้วิธีพวกนี้บ่อยๆ
รวมถึงมือโปรที่เขาขายดีๆ หลายคนก็ใช้วิธีหล่านี้ทั้งนั้น
และบางคนก็ใช้วิธีที่ขั้นสูงขึ้นไปอีก
แต่ 4 ไอเดียเหล่านี้ พี่เมริว่าก็ใช้ได้ค่ะ

#ลองซื้อมาใช้เอง
ถ้ามีกำลังพอไหว สินค้าไม่แพงมาก ลองซื้อมาใช้ซักชิ้นแล้วตอบตัวเองว่ามันดีพอขายได้มั๊ย ชอบมั๊ย หรือ เฉยๆ (ถ้าเรามาขายจริงๆ ลูกค้าหลายคนถ้าประทับใจครั้งแรกก็มีโอกาสซื้อต่อ)

#ลองโพสต์หน้าเฟสส่วนตัว
ลองแชร์บอกเล่า ความประทับใจ ข้อดี แบบเหมือนเล่าให้เพื่อนฟัง ว่าไปลองมาแล้วมันดียังไง บางครั้งเราจะเห็นโอกาสจากตรงนี้
(หรือลองถามว่าถ้าเราจะเอามาขายจริงๆ มีใครสนใจมั๊ย รับ Pre-Order)

#ลองเทสตลาดหน้าเพจ
ลองทำบทความ คอนเทนต์ เกี่ยวกับสินค้า โดยนำเสนอจุดเด่นในการแก้ปัญหาของลูกค้า หมั่นอ่านคอมเมนท์ ดูฟีคแบคส์ ว่าเสียงตอบรับเป็นยังไง (ลองไลฟ์จัดกิจกรรมแจก หรือ ไลฟ์เนื้อหาที่เกี่ยวกับสินค้าที่เราสนใจ เพื่อดูฟีดแบคส์)

#โพสต์ตัวอย่าง
ลองทำรูป กราฟฟิค หรือ ขอรูปจากเจ้าของแบรนด์ โพสต์เพื่อทดสอบตลาดก่อน เพราะจะช่วยให้เห็นทิศทางมากขึ้น
หรือลองให้เล่นเกมเดาราคา กิจกรมต่างๆ รับ Pre-Order จะช่วยให้รู้ว่าคนจะเทไปทางสีไหน ไซด์ไหน ราคาในใจเวลาเห็น หรือเราต้องปรับตรงไหนอีก ก่อนขายจริงจะได้ไม่สต๊อกมั่วๆ

รวมถึงยังสามารถไปดูในพวกกระทู้พันทิป
เซิร์ทในกูเกิล ว่าคนเขาติดปัญหาอะไร
แล้วสิ่งที่เราจะเอามาขาย มันจะช่วยคนกลุ่นนี้ได้มั๊ย
แล้วทำไมสินค้าอื่นๆ หรือเจ้าอื่นๆ ที่เขาขายกันอยู่
แต่คนก็ยังมาถามอยู่อีก
นั่นมันจะเป็นสัญญาณว่า มีความต้องการ
แต่มันยังไม่ตอบโจทย์ หรือ ยังมีมุมอื่นๆ ช่องว่างอื่นๆ
ที่เราจะขึ้นไปทำตลาดได้
เราจะได้เริ่มต้นแบบมีทิศทางค่ะ

ลองใช้เทคนิคบนโลกออนไลน์จากในเพจ ในเฟสบุคส่วนตัว
หรือช่องทางออนไลน์อื่นๆ มาช่วยนะคะ
เพื่อให้คุณจะได้รู้ว่าสินค้าที่คุณจะเอามาขาย
มันจะพอเป็นไปได้มั๊ย

ลองเอาไปใช้กันนะคะ

#พี่เมริ
#การตลาดเข้าใจง่าย
#มือใหม่หัดทำออนไลน์

หลายคนที่เข้ามาทำธุรกิจ หรือ
กำลังคิดจะขายขของออนไลน์
คงเกิดคำถามในใจว่า….
………………………………………………………………..

ฉันจำเป็นแค่ไหนที่ต้องรู้การตลาด
ฉันมีเงินจ้างคนอื่นทำเลยได้มั๊ย
ฉันไม่ได้ผลิตเอง ซื้อมา ขายไป จำเป็นด้วยเหรอ
ร้านฉันเล็กๆ คงไม่จำเป็นต้องทำมั้ง
แค่ยิงแอดเป็นก็จบแล้วมั๊ยจะทำการตลาดไปทำไม
สินค้าดี บริการดี จะกลัวอะไร ขายได้อยู่แล้ว
………………………………………………………………..

หากคุณเป็นคนนึงที่กำลังคิดแบบด้านบนอยู่
ไม่ว่าจะข้อใด ข้อหนึ่ง หรือหลายข้อก็ตาม
เมริแนะนำให้คุณอ่านบทความนี้ต่อค่ะ
………………………………………………………………..

เพราะต่อไปยุคแห่งการขายอย่างเดียวจะหมดไปแล้ว
การยิงโฆษณาแม่นเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ
ถ้าโพสต์นั้นไม่ได้สร้างความอยากได้หรือกระแทกให้ตัดสินใจ
ไม่ว่าคุณจะทำเองแบบตัวคนเดียว หรือ มีลูกน้อง มีทีม
สิ่งที่คุณควรรู้คือ การขายและการตลาดจะนำรายได้ให้กับธุรกิจของคุณ
คุณจำเป็นต้องรู้ เพราะสินค้าหรือว่าบริการดีๆ
วางอยู่กับที่ ไม่มีใครรู้จัก ก็จะไม่ทำเงิน
การขายตัดราดา หรือ เน้นเรื่องราคาเพียงอย่างเดียว
ไม่อาจทำให้คุณอยู่รอดในโลกที่มีอินเตอร์เน็ต ที่เช็คราคาได้อย่างง่ายดาย
และต่อไปในหลายสินค้า/บริการ ราคาจะไม่ใช่เพียงอย่างเดียวที่คนตัดสินใจ
………………………………………………………………..

1. ไม่มีใครรู้จักสินค้า/บริการ ”ของคุณ” ได้ดีเท่าคุณ

หากคุณเป็นตัวแทนสินค้า คุณก็จำเป็นต้องรู้เช่นกัน
เพราะคุณจะเข้าใจและรู้วิธีการนำเสนอได้อย่างดีกว่าคนที่ไม่รู้

2. ไม่มีใครรักและแคร์ได้เท่าคุณ

ถึงแม้คุณจะไม่ได้ผลิตเอง แต่คุณเป็นคนเลือกที่จะนำสิ่งนั้น
ออกสู่ตลาด คุณจะรู้ดีว่ามันช่วยผู้คนได้ยังไง
คุณจะรักและหลงใหลมันมากกว่าคนอื่นๆ
ยิ่งถ้าคุณเริ่มปุกปั้นมันเองคุณจะเข้าใจความรู้สึกนี้อย่างดี

3. ถ้าคุณไม่เข้าใจคุณจะไม่รู้เลยว่า สิ่งที่คุณทำอยู่มันดีรึยัง

ถ้าคุณเข้าใจกลุ่มลูกค้า เป้าหมาย เพื่อทำการตลาดต่างๆ
คุณจะเข้าใจว่า บางอย่างทำเพื่อเห็นผลในระยะสั้น
บางอย่างไม่เกิดผลทันที และคุณจะสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้อีก
โดยไม่ท้อ หรือ ล้มเลิกไปก่อน หรือมองเห็นทางใหม่ๆ

พี่เมริ ขอเอาเหตุผลแบบสั้นๆ เพียง 3 ข้อ
ที่จะช่วยให้คุณเริ่มเห็นความสำคัญและอยากเพิ่มทักษะทางการตลาด
จริงๆมีหลายเหตุผลกว่านี้นะคะ
แต่วันนี้ลองดู 3 ข้อนี้ก่อน
พี่เมริเชื่อว่า ถ้าคุณอ่านอย่างตั้งใจ
คุณจะรู้ว่ามันใช่ค่ะ
และที่สำคัญการตลาดเป็นทักษะที่เรียนรู้กันได้ค่ะ
………………………………………………………………..

#พี่เมริ
#การตลาดเข้าใจง่าย
#การตลาด
#เริ่มต้นทำธุรกิจ
#เริ่มต้นขายของ

ขายของเหมือนกันถ้าไม่แข่งราคาจะแข่งอะไร
ของใกล้เคียงกัน แต่ไม่เหมือนซะทีเดียว ไม่รู้จะนำเสนอยังไงดี
ก็รู้แหละว่ามันต้องแตกต่าง แล้วต้องทำยังไงล่ะ

หลายคนน่าจะกำลังเบื่อกับการแข่งขันด้านราคา
เพราะนอกจากกำไรที่ลดลงแล้ว
บางครั้งยังรู้สึกว่าต้องวิ่งตลอดเวลา
เราลดแป๊บเดียว เจ้าอื่นลดอีกแล้ว
……………………………………………………………………

หลายคนรู้ดีว่า ถ้าเราแตกต่าง มันจะช่วยอัพราคาได้
หรือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ช่วยให้คนนึกถึงได้ง่ายขึ้น
……………………………………………………………………

ก่อนที่เราจะไปสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าของเรา
บริการของเรา หรือ แม้แต่สร้างตัวเราเองให้มันแตกต่าง
หรือ ภาษาทางการนิดหน่อยก็คือ การสร้างแบรนด์
การสร้าง Personal Branding
พี่เมริอยากให้คุณลองคิดและตกผลึกในมุมต่อไปนี้ก่อนนะคะ
มันจะช่วยให้คุณง่ายขึ้น
เพราะในยุคต่อจากนี้ไป
ถ้าเราไม่ต่าง ไม่มีแบรนด์ หรือแม้แต่คนที่อยากสร้างตัวตน
ถ้าภาพเหล่านี้มันไม่ชัด คุณก็อาจจะต้องอึดอัดกับสงครามราคา
และอาจจะเจอภาวะที่ว่า ขายได้มาก แต่กำไรแทบไม่เหลือ
……………………………………………………………………

คุณน่าจะติดปัญหาข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ค่ะ

1. คู่แข่ง
พี่เมริไม่ได้หมายถึงว่าคุณต้องไปลอกเลียนแบบเขา
ไปด่าว่า โจมตี หรือ ทำการตลาดแบบแย่ๆ เพื่อให้เราโดดเด่นนะคะ
หรือแม้แต่คนที่มีจิตใจมีคุณธรรรม บอกว่า ฉันไม่แข่งกับใคร แข่งกับตัวเองพอ
ฉันไม่มีคู่แข่งหรอก ฟังพี่เมริก่อนนะคะ

ปัญหานึงที่คุณจะแตกต่างแต่ไม่โดดเด่น หรือ ไม่ชัดเจน
นั่นคือ คุณไม่รู้จักคู่แข่งของคุณ คุณไม่รู้ว่ามีใครอยู่ในตลาดบ้าง
พี่เมริไม่ได้หมายถึง คุณต้องไปแก่งแย่งชิงดี
แต่การที่คุณรู้ ณ จุด ๆ นี้ มันจะช่วยให้คุณเค้น ออกมาได้ว่า
ข้อดีที่เรามี บุคลิกที่เราเด่น จุดนำเสนอที่ควรใช้ มุมไหนมันจะได้ผลดี
อย่างดาราตลก ในเมืองไทยก็มีไม่น้อย แต่ว่า ทำไมบางคนก็มีจุดเด่น
นี่แหละค่ะ ที่พี่เมริหมายถึง เราก็แตกต่างได้ เด่นได้ สร้างแบรนด์ได้
โดยไม่ต้องไปทำร้ายใคร เพียงแต่ มันจะช่วยให้หาได้ชัดเจนมากขึ้น
ดังนั้น ลิสต์ออกมาก่อนนะคะ ว่าคนที่อยู่ในสนามเดียวกับคุณมีใคร และเขาเด่นด้านไหน
……………………………………………………………………

2. หาข้อดีตัวเองไม่เจอ
บางครั้งสินค้าเรามันเหมือนกับคนอื่นมากๆ เลย
แทบจะหาอะไรแตกต่างไม่ได้เลย
ถ้าใครเริ่มต้นสินค้าดี หรือ บริการดี ข้อนี้ก็จะมีชัยไปกว่าครึ่งค่ะ
แต่ถ้าคุณเริ่มต้นด้วยของห่วย พี่เมริขอแนะนำให้คุณรีบหาทางปรับเปลี่ยน
หรือพยายามหาของดีมาแทนนะคะ เพราะอย่างนั้น แรงพลังที่คุณสร้างขึ้นมา
ไม่ว่าจะสร้างแบรนด์ สร้างจุดเด่น สร้างความแตกต่าง แค่ไหน
มันก็จะพังลงไม่ช้า เพราะคนเขาเอาไปใช้แล้วไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเขา
หรือมันไม่โอเคมากๆ

ภาษาทางการ เขาบอกว่า เราหา USP หรือหา Unique Selling Point
(บางที่ก็เรียก Unique Selling Proposition) ตรงนี้ไม่เจอ
คือ ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาเป็น USP ดี ถ้าสินค้าดี มันมีหนทางค่ะ

……………………………………………………………………

จริงค่ะ ว่าสินค้าดี บริการดี วางอยู่กับที่ ใช่ว่าจะขายได้ดี
แต่ก็จริงอีกเช่นเดียวกันที่ว่า… สินค้าห่วย บริการแย่ ถึงการตลาดดี
มันจะขายได้ดีแค่แว๊บเดียว ไม่ยั่งยืน
……………………………………………………………………

คุณอาจจะต้องให้ความสำคัญในการเลือก หรือ ลองบิดหามุมมองอื่นๆ มานำเสนอ
เช่น ยาแต้มสิว เรารู้แหละว่ามันช่วยให้สิวยุบ คือ คุณสมบัติทั่วไปที่มันควรต้องมี
แต่ของคุณช่วยให้ไม่แสบตอนทา ไม่ลอก ไม่ทิ้งรอยแดง แบบเด่นขึ้นไปอีก เป็นต้น
……………………………………………………………………

3. เหมารวมทั้งตลาด
ภาพคุณไม่ชัดว่าต้องการตอบโจทย์ใคร ใครก็ได้ หรือ กลุ่มลูกค้าที่กว้างเกินไป
คุณเลยไม่รู้ว่าเราจะคุยกับใครดี จะบอกเขาว่ายังไง เลยไม่รู้ว่าเขามีปัญหาอะไร
หรือจะนำเสนอให้มันแตกต่างยังไงถึงจะโดนใจ
……………………………………………………………………

ลองเคลียร์ภาพทั้ง 3 ส่วนนี้ให้ชัดนะคะ แล้วค่อยมาแมตซ์กับข้อดีที่คุณมี
ซึ่งบางครั้งมันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่พิสดารมากแบบที่คุณคาดไม่ถึง
มันอาจจะเป็นเรื่องเรียบง่าย อย่างคำพูดบางคำ วลีบางอย่าง
ท่าประจำตัว เพียงแต่คุณทำก่อนหรือทำแล้วมันโดนก็เป็นไปได้ค่ะ

……………………………………………………………………

#โอกาสยังคงมีสำหรับคนที่มองหา

……………………………………………………………………
แนวคิด และ วิธีการ 3 ข้อที่พี่เมริเอามาเล่าให้ฟังผ่านบทความนี้
พี่เมริเชื่อว่า จะช่วยให้คุณเริ่มต้น ตั้งหลัก ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมนะคะ

#พี่เมริ
#การตลาดเข้าใจง่าย
#EasyMarketing
#สร้างแบรนด์
#สร้างความแตกต่าง
#Branding
#PersonalBranding

พี่เมริได้แนวคิดนี้มาจาก
ที ฮาร์ฟ เอคเคอร์ (T. Harv Eker)
นักเขียนในดวงใจค่ะ
จริงๆ เขาเป็นมากกว่านั้นค่ะ
เพราะเขาคือนักธุรกิจ และนักการตลาดที่เก่ง
ที่พี่เมริชอบมากๆ
………………………………………………………………..

พี่เมริอ่านซ้ำ ฟังซ้ำ และรู้สึกว่ามันโดนมากๆ
เลยอยากที่จะเอามาแชร์ ไอเดีย
………………………………………………………………..

เขาบอกว่า สิ่งนึงถ้าคุณอยากทำการตลาดให้สำเร็จ
ลูกค้าที่มีศักยภาพของคุณ หรือ กลุ่มเป้าหมายของคุณ
คือ….ผู้ซื้อที่พิสูจน์แล้ว
………………………………………………………………..

ฟังดูงงๆ นิดนึงนะคะ คือ หมายถึง
คนที่เคยซื้อของของเรา หรือ ของคู่แข่งของเรา
คนที่เคยซื้อสินค้า บริการที่ใกล้เคึยงกับของเรา
คนกลุ่มนี้ คือ กลุ่มคนที่มีศักยภาพ
เป็นกลุ่มตลาดที่น่าสนใจ และควรให้ความสำคัญ
………………………………………………………………..

ข้อดีของคนกลุ่มนี้คือ….
เราไม่ต้องเสียเวลาทำให้เขาเรียนรู้สินค้ามากนัก
(บางคนก็ใช้คำว่า Educate ตลาด)
เพราะเขาคุ้นชินและมีความต้องการสินค้า
บริการประเภทนี้อยู่
(พูดง่ายๆ คือ แทบไม่ต้องบิ้วความต้องการของเขามากนัก)
………………………………………………………………..

หน้าที่ของเรา หรือ หลักการตลาดที่สำคัญคือ
คุณต้องทำให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายกลุ่มนี้เกิดความรู้สึก
“ต้องการคุณ”

คือทำให้เขารู้สึกว่า “Why they should buy it from you”

พี่เมริว่ามันเป็นหลักการที่จริงและเจ๋งมากๆ
แต่สิ่งที่ท้าทายคือ วิธีการที่เราจะทำให้เกิดความรู้สึกแบบนั้นค่ะ
ว่า “ทำไมเขาควรซื้อกับเรา”
………………………………………………………………..

นี่เลยเป็นเหตุผลนึงที่ทำให้พี่เมริค่อนข้างสนับสนุนว่า…
การทำการตลาดไปด้วย น่าจะดีกว่าการเน้นขายเพียวๆ เพียงอย่างเดียว
เพราะมันจะช่วยขยี้ หรือ ทำให้เกิดความรู้สึกว่า…
“ทำไมเขาควรซื้อกับเรา” มากยิ่งขึ้น
………………………………………………………………..

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ขอยกตัวอย่างอย่างนี้นะคะ
คือ คนมีความต้องการใช้งานคอมพิวเตอร์ อยู่แล้วแหละ
แต่ทำไมต้องซื้อวินโดวน์ล่ะ หรือทำไม ไม่ใช้ของเจ้าอื่นๆ ?

หน้าที่ของ Mac คือ ต้องทำให้ลูกค้าที่ตัดสินใจอยากได้คอมพิวเตอร์ไปใช้ ต้องเกิดความรู้สึกว่า….
มาใช้ Mac เถอะ…เพราะว่า….
“มันเป็นอะไรที่ตอบโจทย์คนที่ทำกราฟฟิคไง”
เขาเริ่มจากตรงนี้ค่ะ
จนทุกวันนี้
คนที่ไมไ่ด้ทำกราฟฟิค หรือ เป็นนักออกแบบ หลายๆ คน
ก็หันมาใ้ช้ Mac

………………………………………………………………..

พี่เมริคิดว่าสำหรับมือใหม่ไอเดียนี้เอาไปปรับใช้ได้นะคะ
คือ ลองโฟกัสดูว่า…
มันจะช่องว่างตรงไหน
ที่เราจะนำเสนอ เพื่อให้เขาเกิดความรู้สึกอย่างที่ว่า…
เหมือนตัวอย่าง Mac ด้านบน
………………………………………………………………..

หรืออีกซักอย่างนึงสำหรับคนที่มีฐานลูกค้าอยู่บ้างแล้ว
การมีรีวิว ลูกค้าอ้างอิง หรือ ผลลัพธ์ของเราเอง
ก็ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือไม่น้อย
มันช่วยทำให้ภาพ “Why they should buy it from you”
หรือ “ทำไมเขาควรซื้อกับเรา” ชัดเจนมากขึ้น
………………………………………………………………..

น่าจะพอได้ไอเดียนะคะ
เอาแนวคิดนี้ ไอเดียนี้เป็นแกนกลาง
แล้วเราค่อยๆ คิดหาวิธีการอื่นๆ ให้ถึงเป้าที่เราต้องการค่ะ
เราจะได้ใช้พลังงานแบบคุ้มค่า

#พี่เมริ
#การตลาดเข้าใจง่าย
#EasyMarketing
#หลักการตลาด
#จิตวิทยาการตลาด
#ทำไมเขาควรซื้อกับเรา
#MayriMarketing