หลายคนคงเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า…
เราจะยังจำเป็นต้องมีหน้าร้านอยู่มั๊ย
การออกบูธ หรือ การทำออฟไลน์
มันยังโอเคอยู่รึเปล่า

คือ การที่จะฟันธงว่ามันดีหรือไม่ดีนั้น
มันอยู่ที่หลายอย่างค่ะ เช่น
ของบางอย่างมันจำเป็นต้องมีหน้าร้าน มันก็ต้องมี
อย่างไปให้คุณหมอตรวจ ไปสักคิ้ว ไปกดสิว ไปตัดผม

ของบางอย่างจะมีหรือไม่มีก็ได้ เช่น
เสื้อผ้า (เมื่อก่อนไม่มีมันดูแปลกๆ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีก็ขายได้)
………………………………………………………………………………

แต่บางครั้ง หากทั้งสอง ช่องทางมันช่วยเสริมกันได้
หรือ ทำควบคู่กันได้ เราก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งทางใดทางหนึ่งค่ะ
เพียงแต่อาจจะให้น้ำหนักต่างกัน
(Omni Channel ศัพท์นี้เอาไปค้นเพิ่มเติมได้ค่ะ)
คือ มาริเชื่อว่า ทุกวันนี้ออนไลน์มันดีอยู่แล้วแหละ
แต่แค่อยากจะบอกว่า…
บางครั้ง การสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า
การให้ลูกค้าได้มาสัมผัสของจริง
ณ ปัจจุบันนี้ การทำแบบมีหน้าร้าน หรือแบบออฟไลน์
ก็ยังให้ความรู้สึกมากกว่าการทำออนไลน์เพียงอย่างเดียว
ออนไลน์ช่วยดึงคน ช่วยตอกย้ำให้จดจำ ช่วยทำให้อยากแชร์ ช่วยดึงให้คนอยากมา
แต่ออฟไลน์หรือหน้าร้าน ช่วยสร้างประสบการณ์
………………………………………………………………………………

ทำไมต้องเลือก ถ้า….
ถ้ามันเสริมก็ไม่ต้องทิ้งทางใดทางหนึ่ง
แต่ถ้า….มันเสีย ตอนนั้นค่อยเลือกก็ได้ค่ะ
ในที่นี้ เสีย หมายถึงว่า มันดูไม่คุ้มกะเวลา และเงิน เอาเสียเลย
(คือ ของบางอย่าง สั้นๆ อาจยังไม่เห็นว่ามันได้อะไรกลับมา
แต่ระยะยาวถึงคุ้มค่าก็มีค่ะ อย่างเรื่องของการสร้างแบรนด์
อย่างนี้ต้องมองยาวหน่อยค่ะ)
………………………………………………………………………………

อย่างเช่น คุณเริ่มสังเกตเห็นว่า….
เอะ!! สัดส่วนลูค้าแทบจะ 70-80% เลย สั่งออนไลน์
หน้าร้านแทบไม่ต้องมีก็ยังได้ หรืออย่างเต็มที่
เราก็ไปนัดเจอ ไปพรีเซนต์ให้ลูกค้าเห็นที่อื่นๆแทน
ไม่จำเป็นต้องมาที่หน้าร้าน
พอคิดสะระตะแล้ว โอ้ว ค่าเช่า ค่าพนักงาน
ค่าเสื่อม ค่าเอฟเวอร์รี่ติง จิงกะเบล
มันเริ่มเป็นอะไรที่ต้องจ่ายตลอด ค่าคงที่ แต่ไม่ค่อยจะคุ้มแล้ว
เอาเงินที่เสียตรงนี้ ไปพัฒนาช่องทางออนไลน์
หรือเสริ์ฟถึงบ้านให้ลูกค้าดีกว่า…
แบบนี้เลือกได้เลยค่ะ (เลือกบนฐานข้อมูลที่เรามี)
หรือค่อยใช้วิธีอื่นๆ เช่น ออกบูธบ้างเพื่อสร้างกิจกรรม
หรือได้สร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า ได้เกิดการสัมผัส
แทนการเปิดหน้าร้านตลอดเวลา
หรือไม่ก็…เปิดเป็นช่วงแทน เพื่อให้ลูกค้าเห็นคุณค่า
และเราง่ายต่อการบริหารจัดการ
(โดยเฉพาะคนที่ทำท่องเที่ยวเชิงเกษตรนะคะ
เปิดตลอดเวลา
ตอนที่ไม่มีอะไรมาโชว์มันเหนื่อย
แบกต้นทุน คนก็ไม่ไปเที่ยว อะไรแบบนี้
ลองปรับวิธีออนไลน์เข้ามาช่วยได้นะคะ)
เป็นต้น
………………………………………………………………………………

พอเห็นภาพนะคะ

กล่าวโดยสรุปก็คือ
ถ้าระหว่างออฟไลน์ กับ ออนไลน์
มันเสริมกันดี พี่ก็ไม่จำเป็นต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง
ทำมันทั้งคู่ แต่ใช้วิธีแบ่งน้ำหนักไม่เท่ากันแทน
หรือเน้นเป็นช่วงๆ แทน
แต่ถ้าทำทั้งคู่ แล้วมันเสีย ไม่ส่งเสริมกัน
พี่ค่อยเลือกฟันธงเพื่อโฟกัสให้สุดทาง ก็ได้คร่าาา

ทำไมต้องเลือก ถ้า “มันดีทั้งคู่”
ทำไมไม่เลือก ทั้งคู่เลยล่ะ