ขายของเหมือนกันถ้าไม่แข่งราคาจะแข่งอะไร
ของใกล้เคียงกัน แต่ไม่เหมือนซะทีเดียว ไม่รู้จะนำเสนอยังไงดี
ก็รู้แหละว่ามันต้องแตกต่าง แล้วต้องทำยังไงล่ะ
หลายคนน่าจะกำลังเบื่อกับการแข่งขันด้านราคา
เพราะนอกจากกำไรที่ลดลงแล้ว
บางครั้งยังรู้สึกว่าต้องวิ่งตลอดเวลา
เราลดแป๊บเดียว เจ้าอื่นลดอีกแล้ว
……………………………………………………………………
หลายคนรู้ดีว่า ถ้าเราแตกต่าง มันจะช่วยอัพราคาได้
หรือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ช่วยให้คนนึกถึงได้ง่ายขึ้น
……………………………………………………………………
ก่อนที่เราจะไปสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าของเรา
บริการของเรา หรือ แม้แต่สร้างตัวเราเองให้มันแตกต่าง
หรือ ภาษาทางการนิดหน่อยก็คือ การสร้างแบรนด์
การสร้าง Personal Branding
พี่เมริอยากให้คุณลองคิดและตกผลึกในมุมต่อไปนี้ก่อนนะคะ
มันจะช่วยให้คุณง่ายขึ้น
เพราะในยุคต่อจากนี้ไป
ถ้าเราไม่ต่าง ไม่มีแบรนด์ หรือแม้แต่คนที่อยากสร้างตัวตน
ถ้าภาพเหล่านี้มันไม่ชัด คุณก็อาจจะต้องอึดอัดกับสงครามราคา
และอาจจะเจอภาวะที่ว่า ขายได้มาก แต่กำไรแทบไม่เหลือ
……………………………………………………………………
คุณน่าจะติดปัญหาข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ค่ะ
1. คู่แข่ง
พี่เมริไม่ได้หมายถึงว่าคุณต้องไปลอกเลียนแบบเขา
ไปด่าว่า โจมตี หรือ ทำการตลาดแบบแย่ๆ เพื่อให้เราโดดเด่นนะคะ
หรือแม้แต่คนที่มีจิตใจมีคุณธรรรม บอกว่า ฉันไม่แข่งกับใคร แข่งกับตัวเองพอ
ฉันไม่มีคู่แข่งหรอก ฟังพี่เมริก่อนนะคะ
ปัญหานึงที่คุณจะแตกต่างแต่ไม่โดดเด่น หรือ ไม่ชัดเจน
นั่นคือ คุณไม่รู้จักคู่แข่งของคุณ คุณไม่รู้ว่ามีใครอยู่ในตลาดบ้าง
พี่เมริไม่ได้หมายถึง คุณต้องไปแก่งแย่งชิงดี
แต่การที่คุณรู้ ณ จุด ๆ นี้ มันจะช่วยให้คุณเค้น ออกมาได้ว่า
ข้อดีที่เรามี บุคลิกที่เราเด่น จุดนำเสนอที่ควรใช้ มุมไหนมันจะได้ผลดี
อย่างดาราตลก ในเมืองไทยก็มีไม่น้อย แต่ว่า ทำไมบางคนก็มีจุดเด่น
นี่แหละค่ะ ที่พี่เมริหมายถึง เราก็แตกต่างได้ เด่นได้ สร้างแบรนด์ได้
โดยไม่ต้องไปทำร้ายใคร เพียงแต่ มันจะช่วยให้หาได้ชัดเจนมากขึ้น
ดังนั้น ลิสต์ออกมาก่อนนะคะ ว่าคนที่อยู่ในสนามเดียวกับคุณมีใคร และเขาเด่นด้านไหน
……………………………………………………………………
2. หาข้อดีตัวเองไม่เจอ
บางครั้งสินค้าเรามันเหมือนกับคนอื่นมากๆ เลย
แทบจะหาอะไรแตกต่างไม่ได้เลย
ถ้าใครเริ่มต้นสินค้าดี หรือ บริการดี ข้อนี้ก็จะมีชัยไปกว่าครึ่งค่ะ
แต่ถ้าคุณเริ่มต้นด้วยของห่วย พี่เมริขอแนะนำให้คุณรีบหาทางปรับเปลี่ยน
หรือพยายามหาของดีมาแทนนะคะ เพราะอย่างนั้น แรงพลังที่คุณสร้างขึ้นมา
ไม่ว่าจะสร้างแบรนด์ สร้างจุดเด่น สร้างความแตกต่าง แค่ไหน
มันก็จะพังลงไม่ช้า เพราะคนเขาเอาไปใช้แล้วไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเขา
หรือมันไม่โอเคมากๆ
ภาษาทางการ เขาบอกว่า เราหา USP หรือหา Unique Selling Point
(บางที่ก็เรียก Unique Selling Proposition) ตรงนี้ไม่เจอ
คือ ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาเป็น USP ดี ถ้าสินค้าดี มันมีหนทางค่ะ
……………………………………………………………………
จริงค่ะ ว่าสินค้าดี บริการดี วางอยู่กับที่ ใช่ว่าจะขายได้ดี
แต่ก็จริงอีกเช่นเดียวกันที่ว่า… สินค้าห่วย บริการแย่ ถึงการตลาดดี
มันจะขายได้ดีแค่แว๊บเดียว ไม่ยั่งยืน
……………………………………………………………………
คุณอาจจะต้องให้ความสำคัญในการเลือก หรือ ลองบิดหามุมมองอื่นๆ มานำเสนอ
เช่น ยาแต้มสิว เรารู้แหละว่ามันช่วยให้สิวยุบ คือ คุณสมบัติทั่วไปที่มันควรต้องมี
แต่ของคุณช่วยให้ไม่แสบตอนทา ไม่ลอก ไม่ทิ้งรอยแดง แบบเด่นขึ้นไปอีก เป็นต้น
……………………………………………………………………
3. เหมารวมทั้งตลาด
ภาพคุณไม่ชัดว่าต้องการตอบโจทย์ใคร ใครก็ได้ หรือ กลุ่มลูกค้าที่กว้างเกินไป
คุณเลยไม่รู้ว่าเราจะคุยกับใครดี จะบอกเขาว่ายังไง เลยไม่รู้ว่าเขามีปัญหาอะไร
หรือจะนำเสนอให้มันแตกต่างยังไงถึงจะโดนใจ
……………………………………………………………………
ลองเคลียร์ภาพทั้ง 3 ส่วนนี้ให้ชัดนะคะ แล้วค่อยมาแมตซ์กับข้อดีที่คุณมี
ซึ่งบางครั้งมันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่พิสดารมากแบบที่คุณคาดไม่ถึง
มันอาจจะเป็นเรื่องเรียบง่าย อย่างคำพูดบางคำ วลีบางอย่าง
ท่าประจำตัว เพียงแต่คุณทำก่อนหรือทำแล้วมันโดนก็เป็นไปได้ค่ะ
……………………………………………………………………
……………………………………………………………………
แนวคิด และ วิธีการ 3 ข้อที่พี่เมริเอามาเล่าให้ฟังผ่านบทความนี้
พี่เมริเชื่อว่า จะช่วยให้คุณเริ่มต้น ตั้งหลัก ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมนะคะ
#พี่เมริ
#การตลาดเข้าใจง่าย
#EasyMarketing
#สร้างแบรนด์
#สร้างความแตกต่าง
#Branding
#PersonalBranding